เจอคนบ้าทำอย่างไร? เอาผิดกับคนบ้าได้หรือไม่?

เจอคนบ้าทำอย่างไร? เอาผิดกับคนบ้าได้หรือไม่?

         น้องหญิงมีเรื่องจะถาม ท่านพี่ ZENLAW เจ้าค่ะ วันก่อนมีคนบ้าวิ่งเข้ามาจะทำร้ายน้องหญิง น้องหญิงกลัวมากเลยเจ้าค่ะ แต่ยังดีที่น้องหญิงมีพลังบุญอยู่เยอะน่ะเจ้าค่ะ น้องหญิงเลยรอดมาได้ ถ้าวันนั้นน้องหญิงโดนคนบ้าทำร้ายร่างกาย น้องหญิงสามารถให้ตำรวจดำเนินคดีให้คนบ้าติดคุกได้ไหมเจ้าค่ะ หรือถ้าคนในครอบครัวเกิดมีอาการทางประสาทเกิดขึ้นน้องหญิงควรทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ท่านพี่ ZENLAW รบกวนช่วยน้องหญิงที่นะเจ้าค่ะ

         น้องหญิงไม่ต้องกลัวไปนะครับ พี่ ZENLAW มีคำตอบจะแนะนำน้องหญิงเอง อย่างแรกเลยเรื่องที่เกี่ยวกับกับคนบ้า หรือคนวิกลจริตนั้น ตามกฎหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นมีผลได้ทั้งทางแพ่งและทางอาญานะครับ น้องหญิงเราต้องจัดการไปแต่ละส่วนของคดีนะครับไม่เหมือนกัน

         ในส่วนของคดีทางอาญา ไม่ว่าน้องหญิงโดนคนบ้าทำร้ายที่ไหน ก็สามารถไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ หรือท้องที่ที่พบตัวคนบ้าครั้งสุดท้ายได้เลยนะครับ แต่ ZENLAW แนะนำว่าให้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมนะครับ เพราะคนบ้าอาจทำร้ายร่างกายเราได้ อันตรายนะครับ หลังจากนั้นเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการตามกระบวนการต่อไป เมื่อคดีถึงชั้นศาลผู้พิพากษาเองก็จะต้องพิจารณาดูว่าคนบ้านั้นบ้าจริงหรือไม่ มีอาการผิดปกติทางจิตระดับใด ขาดสติสัมปชัญญะจนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ควบคุมตัวเองไม่ได้หรือไม่ หากเชื่อได้ว่าขณะที่กระทำผิด นั้นเกิดขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีอาการผิดปกติทางจิต คนบ้านั้นก็ไม่ต้องรับโทษนะครับ แต่ไม่ใช่ว่าการกระทำของคนบ้านั้นไม่ผิดนะครับ แค่ไม่ต้องรับโทษ เดี๋ยวศาลก็จะสั่งให้ไปเข้ารับการบำบัดรักษาที่ถูกต้องต่อไปครับ จะได้ไม่ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นได้อีก ดังนั้นแล้ว เจอคนบ้าที่ไหนก็ถอยห่างไว้ก่อนเป็นดีครับ

         ในส่วนของคดีทางแพ่ง น้องหญิงรู้ไหมว่าเราไม่ควรทำนิติกรรมสัญญาใดๆกับคนวิกลจริตเพราะนิติกรรมนั้นอาจเป็นโมฆียะได้ หรือก็คือสามารถบอกเลิกสัญญาทำให้เสมือนว่าไม่เคยเกิดสัญญานั้นขึ้นมาเลยก็ได้ด้วยเพราะว่าคนที่ทำสัญญานั้นเป็นบุคคลวิกลจริตและไม่รู้สำนึกในการกระทำของตนได้อย่างแน่แท้ กฎหมายจึงออกมาเพื่อคุ้มครองป้องกันไม่ใช่คนปกติทั่วไปที่มีเจตนาทุจริตหลอกคนสติไม่สมประกอบทำสัญญาหาผลประโยชน์อันมิชอบได้

         ท่านพี่ ZENLAW ค่ะแบบนี้คนวิกลจริตจะทำนิติกรรมสัญญาอย่างไรได้บ้างล่ะค่ะ ในเมื่อถ้าทำนิติกรรมไปก็อาจมีผลทำให้สัญญาเป็นโมฆียะได้แบบนี้ ไม่ต้องห่วงครับน้องหญิง กฎหมายได้วางแนวทางไว้ในกรณีนี้อยู่แล้วคับ ในกรณีที่ในครอบครัวเราเป็นบุคคลวิกลจริตนั้น กฎหมายได้ให้แนวทางปฎิบัติไว้ว่าให้ สามารถแต่งตั้งทนายความเพื่อทำการร้องขอให้ศาลสั่งให้คนวิกลจริตนั้นเป็นคนไร้ความสามารถได้ ซึ่งบุคคลดังกล่าวที่จะมีสิทธิร้องขอได้นั้นต้องเป็นบุคคลดังกล่าวต่อไปนี้

         1.คู่สมรส

         2.ผู้บุพการี หรือก็คือ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย หรือแม้แต่ทวดก็ได้

         3.ผู้สืบสันดาน หรือก็คือ ลูก หลาน เหลน ของคนวิกลจริตนั้น

         และบุคคลดังกล่าวนี้สามารถเป็นผู้อนุบาล มีอำนาจในการดูแลจัดการนิติกรรมทุกอย่างของคนวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้วนั้น แล้วถ้าคนวิกลจริตหายกลับมาเป็นปกติก็สามารถตั้งทนายความยื่นขอสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้นได้ด้วยนะ

         แล้วรู้ไหมครับน้องหญิงว่านอกจากคนวิกลจริตแล้ว กฎหมายก็ยังให้ความคุ้มครองรวมไปถึงบุคคลที่มีกายพิการ หรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือมีพฤติกรรมสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ หรือติดสุราเมายา หรือเป็นบุคคลที่มีเหตุอื่นๆ ในทำนองเดียวกันนั้น จนไม่สามารถจะจัดการทำการงานได้โดยตัวเอง หรือหากจัดการก็จะทำให้กิจการนั้นไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว เพราะคนเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะทำนิติกรรมใดๆ อันเกิดทำให้เสียทรัพย์หรือโดนหลอกได้ง่าย กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองไว้ให้เช่นกันสามารถแต่งตั้งทนายความร้องขอต่อศาลให้บุคคลที่มีลักษณะข้างต้นนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้ ซึ่งบุคคลที่มีสิทธิที่สามารถจะยื่นคำร้องได้ต้องบุคคลดังกล่าวต่อไปนี้

         1.คู่สมรส

         2.ผู้บุพการี หรือก็คือ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย หรือแม้แต่ทวดก็ได้

         3.ผู้สืบสันดาน หรือก็คือ ลูก หลาน เหลน

         ซึ่งก็จะเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ยื่นขอให้คนวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถนั้นแหละครับน้องหญิง แต่บุคคลเหล่านั้นจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิทักษ์แทน ไม่ใช่ใช้คำว่าเป็นผู้อนุบาลเหมือนกับตอนกรณีคนไร้ความสามารถ เมื่อบุคคลนั้นๆ ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้วนั้นสามารถทำนิติกรรมทั่วไปได้เองโดยสมบูรณ์ครับ ก็จะเว้นแต่นิติกรรมบางอย่างที่กระทำได้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์เสียก่อน ดังต่อไปนี้

         1.นำทรัพย์สินไปลงทุน

         2.รับคืนทรัพย์สินที่ไปลงทุน ต้นเงินหรือทุนอย่างอื่น

         3.กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

         4.รับประกันโดยประการใดๆ อันมีผลให้ตนต้องผูกบังคับชำระหนี้

         5.เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์ มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 6 เดือนหรืออสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี

         6.ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอสมควร เพื่อการกุศลหรือการสังคมตามหน้าที่

         7.รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่รับการให้โดยเสน่หา

         8.ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะได้มาหรือปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือในสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

         9.ก่อสร้างหรือดัดแปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือซ่อมแซมอย่างใหญ่

         10.เสนอคดีต่อศาลหรือดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ เว้นแต้การร้องขอถอนผู้พิทักษ์หรือการร้องขอบางประเภท

         11.ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

         12.กรณีอื่นๆ ซึ่งหากให้คนเสมือนไร้ความสามารถจัดการอาจจัดการไปในทางเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัวได้

         แล้วก็เช่นกันเหมือนกับคนไร้ความสามารถนะครับน้องหญิง ถ้าความประพฤติหรืออาการป่วยของคนเสมือนไร้ความสามารถดีขึ้นแล้ว ก็สามารถแต่งตั้งทนายความยื่นขอต่อศาลให้ถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถนั้นได้ด้วยเช่นกันครับ

         เห็นไหมครับน้องหญิงกฎหมายไทยนั้นได้กำหนดความคุ้มครองให้แก่คนที่มีความผิดปกติทางจิต รวมไปทั้งผู้ที่มีความบกพร่องทางความสามารถอื่นๆ ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว โชคดีไหมล่ะครับน้องหญิงที่ได้เกิดเป็นคนไทยมีสิทธิตามกฎหมายไทยน่ะครับ แต่อย่างไรก็รักษาสุขภาพด้วยนะครับน้องหญิง เพราะอย่างไรเสียการเป็นคนปกติก็ย่อมดีกว่าครับ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top