
คนหายเกิดขึ้นได้ในหลายกรณี ซึ่งในแต่ละเหตุการณ์อาจมีพฤติการณ์ที่แตกต่างกันไปและตำรวจก็จะใช้ดุลพินิจพิจารณาและดำเนินการในแต่ละรายต่างกันไป ZENLAW แนะนำว่าเบื้องต้นว่า อย่างแรกต้องตั้งสติ และรวมรวบข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อนว่า บุคคลที่หายนั้นได้พกอะไรติดตัวเพื่อช่วยในการติดตามตัวไปด้วยหรือไม่ เช่น โทรศัพท์มือถือ และมีเอกลักษณ์ใดเป็นจุดเด่นชัดที่สามารถระบุตัวตนคนหายได้อย่างชัดเจนบ้าง พบตัวครั้งสุดท้ายที่ไหนและเมื่อไร มีเหตุด่วนเหตุร้ายอะไรหรือไม่ที่จะอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต และจึงเตรียมตัวเพื่อไปแจ้งความในลำดับต่อไป
สำคัญมาก!!! หากเป็นกรณีเร่งด่วน ZENLAW แนะนำให้เร่งไปดำเนินการแจ้งความได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอครบ 24 ชั่วโมงนับแต่เมื่อพบตัวครั้งสุดท้าย เช่น เด็ก คนชรา หรือผู้ป่วยที่มีอาการทางสมอง พลัดหลงหายไป หรือ มีเหตุอันพึงมีอันอาจจะอันตรายถึงชีวิตของคนหาย เช่น โดนลักพาตัว
เราสามารถไปแจ้งความที่สถานีตำรวจได้หลายที่ไม่ว่าจะเป็น สถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ หรือท้องที่ที่พบตัวครั้งสุดท้ายหรือที่คาดว่าผู้ที่หายจะอยู่ในท้องที่ดังกล่าว หรือสถานีตำรวจท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของผู้หายหรือภูมิลำเนาของครอบครัวผู้หาย แต่ ZENLAW แนะนำว่าในกรณีเร่งด่วน ให้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุหรือท้องที่ที่พบตัวครั้งสุดท้าย เพื่อสะดวกในการที่ตำรวจจะได้ดำเนินการช่วยเหลือเพื่อออกสืบเสาะตามหาได้ทันท่วงที
เอกสารที่ต้องเตรียมไปที่สถานีตำรวจ นั้นมี 2 ส่วน ได้แก่
เอกสารส่วนของผู้แจ้ง ที่สามารถใช้ยืนยันตัวบุคคลและความสัมพันธ์กับบุคคลที่หายได้ เช่น
- บัตรประจำตัวประชาชน
- บัตรประจำตัวข้าราชการ
- หนังสือเดินทาง
- ทะเบียนบ้าน
- เอกสารการเปลี่ยนชื่อ หรือสัญญาจ้าง หรือเอกสารอื่นๆ ที่ราชการออกให้ (ถ้ามี)
เนื่องจากบุคคลที่จะแจ้งความคนหายได้นั้นต้องมีความสัมพันธ์ตามกฎหมายต่อกัน เช่น เป็น สามี ภรรยา บิดา มารดา บุตร ผู้อนุบาล หรือแม้กระทั่งนายจ้างหรือผู้ที่ดูแลบุคคลนั้นอยู่ หากเป็นกรณีที่ลูกจ้างที่หายไปนั้นไม่ใช่คนไทยหรือครอบครัวของลูกจ้างที่หายนั้นไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยก็สามารถไปแจ้งความได้ แต่หากลูกจ้างเป็นคนไทยและมีครอบครัวมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย นายจ้างควรแจ้งให้ครอบครัวของลูกจ้างที่หายทราบ เพื่อให้ครอบครัวไปแจ้งความ
เอกสารส่วนของผู้หาย จะเป็นเอกสารอันใช้ระบุตัวตนของบุคคลที่หายไป เช่น
- บัตรประจำตัวประชาชน
- บัตรประจำตัวข้าราชการ
- หนังสือเดินทาง
- ภาพถ่ายคนหาย (ควรเป็นภาพที่ระบุตัวตนตอนล่าสุดได้ และมองเห็นใบหน้าชัดเจนหรือเห็นลักษณะบุคคลอันจะสามารถระบุตัวตนได้ชัดเจน)
เมื่อเตรียมตัวครบถ้วนแล้ว ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของบุคคลที่หายนั้น สามารถไปแจ้งความที่สถานีตำรวจได้เลย ซึ่ง ZENLAW แนะนำว่าให้ร่างบันทึกรายละเอียดและเหตุการณ์ลงกระดาษไว้ก่อน เพื่อให้การแจ้งความนั้นง่ายต่อการเรียงลำดับเหตุการณ์และไม่ตกหล่นในรายละเอียดใดๆ ไป
โดยตอนไปแจ้งความควรลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน ต้องควรมีรายละเอียดดังนี้
1.รายละเอียดลักษณะบุคคล ต้องระบุรายละเอียดที่สามารถบ่งบอกรูปพรรณสัณฐานของบุคคลที่หายได้ชัดเจน เช่น เพศ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง ทรงผม เสื้อผ้าที่ใส่ครั้งสุดท้าย พร้อมระบุด้วยว่าเป็นบุคคลที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่ เช่น เป็นผู้สูงอายุมากแล้ว หรือเป็นบุคคลที่มีอาการทางสมองใดๆ หรือไม่ มีความพิการส่วนใดหรือไม่ มีประวัติทันตกรรมหรือไม่ เช่น ใส่เหล็กดัดฟัน ใส่ฟันทอง หรือมีลักษณะเฉพาะตัวอื่นๆ เช่น ปานแดง ปานดำ หรือรอยสัก เป็นต้น
2. รายละเอียดของสถานที่ ต้องระบุที่พบตัวครั้งสุดท้ายรวมทั้งสถานที่ที่คาดว่าน่าจะพบตัว ควรระบุให้ชัดเจน ว่าพบครั้งสุดท้ายที่ไหน หากบุคคลหายไปจากบ้าน นอกจากสถานที่ตั้งบ้านที่ต้องระบุแล้ว ควรระบุลักษณะบ้าน และสถานที่ใกล้เคียงที่บุคคลนั้นหายไปอยู่ หากเป็นกรณีพลัดหลงก็ต้องระบุสถานที่สุดท้ายที่พบเห็นให้ชัดเจน และมีสถานที่ใกล้เคียงใดไหมที่คาดว่าบุคคลนั้นอาจไปพักอยู่ หรือมีสถานที่อันใช้เป็นจุดนัดหมายหรือไม่
3.รายละเอียดของการสูญหาย ควรระบุในรายละเอียดส่วนนี้ให้ชัดเจนว่าหายไปได้อย่างใร และหายไปแล้วตั้งแต่เมื่อไร ต้องระบุด้วยว่าเคยหายตัวไปเช่นนี้มาก่อนหรือไม่ มีหนังสือบอกลาทิ้งไว้หรือไม่ มีเหตุจูงใจใดๆ ให้หนีไปหรือไม่ และมีเหตุด่วนเหตุร้ายใดๆ ประกอบด้วยหรือไม่ เช่น มีน้ำป่าเกิดขึ้นในขณะเล่นน้ำ หรือคาดว่าหลงเข้าไปภายในถ้ำ หรือโดนลักพาตัวไป หรือมีการหายไปในภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุ ซึ่งควรอธิบายอย่างมีลำดับเหตุการณ์ให้ชัดเจนและครบถ้วน
ทั้งนี้ ยิ่งมีรายละเอียดครบถ้วนชัดเจนมากเท่าไร ตำรวจยิ่งมีข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาและหากจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อระงับเหตุ ตำรวจจะได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือได้ทันท่วงที และให้แจ้งชื่อพร้อมเบอร์ติดต่อไปกลับไว้ให้แก่ตำรวจ และขอเบอร์ติดต่อของพนักงานสอบสวนหรือเบอร์ติดต่อของสถานีตำรวจไว้เพื่อใช้ประสานงานเพื่อติดตามความคืบหน้าต่อไปด้วย
TIP แต่ถ้าคนในครอบครัวไปทำงาน ท่องเที่ยวหรือศึกษาที่ต่างประเทศแล้วหายสาบสูญหรือขาดการติดต่อไป ต้องไปดำเนินการแจ้งที่กรมการกงศุลด้วยนะ สามารถร้องทุกข์ได้ตามนี้ https://ehelp.consular.go.th/ เพื่อทำการขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หน้าเพื่อช่วยประสานงานติดต่อตามหาให้ หรือหากมีเหตุสงครามหรือภัยพิบัติก็สามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากสถานเอกอัครราชทูตในแต่ละที่ตามผู้ที่หายไปพักอาศัยอยู่
ZENLAW หวังเป็นอย่างยิ่งว่าตำรวจจะหาสามารถหาตัวและช่วยเหลือผู้ที่สูญหายได้ แต่หากว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วตำรวจดำเนินการค้นหาแล้วแต่หาไม่พบ ผู้ที่ไปดำเนินการแจ้งความต่อตำรวจสามารถติดต่อทนายความเพื่อไปร้องขอต่อศาลให้เป็นคนสาบสูญได้ตามกฎหมาย ถ้าหายไปจนครบ 5 ปี นับตั้งแต่วันที่หายไปหรือวันสุดท้ายที่รู้ข่าว แต่หากเป็นการหายไปเนื่องจากคาดว่าอยู่ในสถานที่ที่มีการรบหรือสงคราม หรือเดินทางโดยสารไปกับยานพาหนะที่อัปปางหรือสูญหาย หรือคาดว่าหายไปจากด้วยเหตุภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ เช่น น้ำป่า ซึนามิ แผ่นดินไหว สามารถร้องขอต่อศาลให้เป็นคนสาบสูญได้ตามกฎหมายได้เมื่อครบ 2 ปี
ถ้าหากบุคคลที่สูญหายไปยังไม่กลับมาหรือยังหาตัวไม่พบ และยังไม่ครบกำหนด 5 ปีหรือ 2 ปีดังกล่าวแต่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเข้าจัดการดูแลทรัพย์สินของผู้สูญหายนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องติดต่อทนายความเพื่อร้องขอต่อศาลตั้งผู้จัดการทรัพย์สิน สามารถเข้าจัดการดูแลทรัพย์สินนั้นไว้แทนผู้ที่สูญหายก่อนได้ในระหว่างที่ยังหาตัวไม่พบได้
และหากต่อมาผู้ที่สาบสูญนั้นได้กลับมาแล้วหรือหาตัวพบแล้วและยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถติดต่อทนายความเพื่อร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนการจัดตั้งผู้จัดการทรัพย์สินและเพิกถอนการเป็นคนสาบสูญเพื่อคืนสถานะความเป็นบุคคลตามกฎหมายได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้ ZENLAW หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ร้ายๆ จะไม่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวที่ท่านรัก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะหาคนที่หายไปได้พบ
ข้อมูล : ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61
รับแจ้งคนหาย : ศูนย์ประชาบดี โทร 1300
ศูนย์ข้อมูลคนหาย : มูลนิธิกระจกเงา โทร 080-775 2673
แจ้งคนหาย (*มีอาการป่วยหลงลืม/อาการทางสมอง) โทรศัพท์ : 095-631 1914